
ดนตรีล้านนา: ทัศนาความคิดผ่านช่วงยุคสมัย
ไม่ปฏิเสธว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา ดนตรีเชียงใหม่มีการพัฒนาที่ต่อเนื่องมาโดยตลอด มีทั้งการรับเข้าและรับออกภายใต้กระแสยุคโลกาภิวัตน์ หรือยุคปัจจุบันแบบทักษิณนิยม ขณะเดียวกัน แม้แนวเพลงในเชียงใหม่จะมีแนวโน้มความหลากหลายที่มากขึ้น ก็ไม่ได้หมายความว่า การเล่น การแต่งเพลง เครื่องดนตรี การขับร้องในแบบฉบับของความเป็นดนตรีล้านนา ดั้งเดิมจะได้รับความนิยมลดลงไปด้วย ซึ่งถ้าลองมอง และฟังให้ดีๆ จะรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของดนตรีล้านนาที่สอดแทรกอยู่ในทุกพื้นที่รอบเมืองควบคู่ไปกับวิถีวัฒนธรรมประเพณีของเชียงใหม่ที่อยู่ยืนยงมากว่า 700 ปี คำอธิบายข้อความข้างต้น อาจารย์โก๋ ธิติพล กันตีวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาศิลปไทย คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขอขยายความเพื่อย้ำความเข้าใจ
"ดนตรีล้านนาบ้านเรามีการพัฒนามาตลอด มีสืบทอดมาหลายต่อหลายยุค เริ่มต้นคือยุคก่อนประวัติศาสตร์ ถ้าพูดถึงเรื่องดนตรีในตอนนั้น เราจะไม่สามารถฟังแล้ว เพราะได้ตายไปพร้อมกับคน ตายไปกับเวลา ที่เราเห็นมาจนปัจจุบันเป็นเครื่องดนตรีหลักๆ อย่าง ฆ้องกบ หัวพิณเปี๊ยะ ที่เราไปเก็บมา และนักโบราณคดีตีความว่าเป็นช่วงก่อน ประวัติศาสตร์ ซึ่งยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงของดนตรีล้านนาครั้งใหญ่จริงๆ คือยุคของ พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ในช่วงนี้ถือว่ามีพัฒนาการหลายๆ ด้านในพระราชสำนักก่อนที่ถูกรวมกับสยาม มีการนำเอาครูเพลงจากภาคกลางขึ้นมา มีการยืมเพลงของพม่าซึ่งแต่เดิมเป็นเพลงของอยุธยา (เพลง โย-ดะ-ยา) แต่พม่าเอาไป ล้านนาก็ไปเอาของพม่ามาอีกทีหนึ่ง เอามาปรับเปลี่ยนกลายเป็นเพลงแบบล้านนา มีการผสมผสานเนื้อร้องของคริสต์เตียนด้วยเพราะช่วง ค.ศ.1900 (พ.ศ. 2443) กว่าๆ พวกตะวันตกเริ่มเข้ามา ก็มีบทบาทต่อเพลงล้านนาด้วยเช่นเดียวกัน
"ยุคต่อมาจะเป็นยุคของวิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่ เป็นนโยบายเพื่อรองรับและเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมจากภาคกลางมาสู่ภาคเหนือ มีการพยายามฟื้นฟูรวบรวมเพลงเก่ากันขึ้นมา สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ บ้านเราไม่มีการสอนเรื่องว่าด้วยดนตรีวิทยาแบบตะวันตกที่มีการศึกษาเรื่องการบันทึกเสียง การแกะออกมาเป็นตัวโน้ต หรือการสืบทอดการสอนการพัฒนาเครื่องดนตรี เพราะฉะนั้นดนตรีล้านนาแบบดั้งเดิมจริงๆ จึงหายไป เราเลยยึดเอาแบบของภาคกลางมาเป็นมาตรฐาน เอาเข้ามาเป็นพื้นฐานเบื้องต้นในการพัฒนารูปแบบทางดนตรี ดนตรีล้านนาสมัยนั้นจึงเป็นไปตามแบบภาคกลาง
"ประเด็นปัญหาจะมีอยู่ช่วงหนึ่งคือ การที่ดนตรีไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง เพราะมีการสร้างภาพให้กับสังคมว่าเรารักวัฒนธรรมไทย เป็นนโยบายของรัฐที่อยากให้หันมารักษาเอกลักษณ์ของตัวเอง ความเป็นชาตินิยม ท้องถิ่นนิยมขึ้นมา มีการนำดนตรีมาเป็นเครื่องมือบ้าง เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมบ้าง ทำให้เกิดการฟื้นฟูดนตรีล้านนายกใหญ่ มีการยึดติดว่าตรงนี้คือแบบอย่างที่ถูกต้อง ต้องหันมาช่วยกันอนุรักษ์ ซึ่งก็อยู่ที่ว่าจะอนุรักษ์อย่างไร จะอนุรักษ์แบบเชื่อว่ามีแบบพิมพ์เดียวก็ไม่ได้ เพราะดนตรีล้านนามีหลากหลายรูปแบบ เราควรที่จะศึกษาดนตรีแต่ละรูปแบบว่ามีความงามอย่างไร โดดเด่นอย่างไร เพื่อให้คนรุ่นหลังมาศึกษาดนตรีหลากหลายเหล่านี้ จะได้สืบต่อกันไป"
มองผ่านอดีตกันไปแล้ว หันมามองในช่วงสิบปีให้หลังนี้บ้าง ดนตรีล้านนา บ้านเราก็ยังคงความเป็นท้องถิ่นมีกลิ่นของเชียงใหม่ให้รู้สึกอยู่ทุกขณะ
"อีกช่วงที่เด่นมากจะเป็นช่วงล้านนาสไตล์ ของอาจารย์โจ บฤงคพ วรอุไร กับอาจารย์โสฬส คุปตรัตน์ ที่ทำงานละครเรื่องนางไม้ มีการนำเอาเครื่องดนตรีพื้นเมือง มาทำโพสิชั่นเพลงใหม่แบบร่วมสมัย หลังจากนั้นก็จะมีวงแนวอนุรักษ์นิยม เช่น วงนาคทันต์เชียงใหม่ วงอเนกประสงค์เชียงใหม่ วงสร้อยระวิง และตามมาด้วยวงใหม่ๆ อย่าง วงช้างสะตน วงลายคำ วงลายเมือง วงช่อคำ ขณะที่ดนตรีประกอบฟ้อนผี ก็มีการนำเอา วงสติงคอมโบมาผสมกับวงดนตรีพื้นบ้านปี่พาทย์ กลายเป็นวงประกอบฟ้อนผี
"ถ้าเราจัดกลุ่มดนตรีล้านนาในตอนนี้ อาจแบ่งกลุ่มได้เป็นโฟล์คมิวสิค (Folk Music) ประเภทเพลงซอเป็นกลุ่มแรก กลุ่มที่สองเป็นดนตรีแบบประเพณีนิย(Traditional Music) พวกวงสะล้อซอซึง วงกลองต่างๆ กลุ่มที่สามเป็นดนตรีแบบแผน (Classical) อยู่ในคุ้มในวัง กลุ่มที่สี่เป็นแบบรับอิทธิพลตะวันตก (Western Colonized) มีทั้งแบบรับเข้ามากับให้เขาไป และกลุ่มที่ห้าคือกลุ่มของดนตรีร่วมสมัย (Contemporary Music) อยู่ในศตวรรษที่ 20 ของดนตรีตะวันตก เป็นการคลี่คลายจากระบบความคิดในด้านดนตรีเดิมจากดนตรีที่มีเสียงหลัก และไม่ยึดติดเสียงหลัก เป็นปรัชญาโดยรวมของดนตรีร่วมสมัยตะวันตก"
อ.โก๋ เป็นหนึ่งในสมาชิกวงช้างสะตน เริ่มในปี พ.ศ. 2534 เป็นการรวมตัวของกลุ่มนักศึกษาช้างเผือกของคณะวิจิตรศิลป์เริ่มต้นการแสดงดนตรีประกอบกับการ แสดงหุ่นของล้านนาประยุกต์ที่เรียกว่า Hobby Hut
"พอเริ่มมาขั้นหนึ่ง เราก็หันมามองในฐานะคนรวบรวมวง มองว่าความเป็นดนตรีมีเหมือนกันทุกวัฒนธรรม แต่ความมีทักษะที่เป็นนักดนตรีจะต่างกัน เพราะฉะนั้นพอมีโอกาสได้ร่วมงานกับชาวญี่ปุ่นบ้าง ชาวสิงคโปร์บ้าง ชาวอเมริกาบ้าง เราจึงเห็นว่ากลุ่มของเขามีการขยับขยาย มีการเคลื่อนที่ทางวัฒนธรรมของเขาเอง การได้มองดนตรีจากที่อื่น ทำให้รู้ว่าดนตรีล้านนาบ้านเราไม่ได้เก่งที่สุดในโลก แต่ขณะเดียวกัน เราก็เป็นหนึ่งในโลกเหมือนกัน เป็นหนึ่งในแง่ที่มีความงามต่างกันไป สำหรับเรา เรามองว่าดนตรีอาจไม่ได้สำคัญที่เครื่องดนตรี แต่สำคัญที่คนปฏิบัติ สำคัญที่ตัวนักดนตรี ถึงจุดหนึ่งเราจะเห็นว่าตัวดนตรีล้านนาจริงๆ ค่อนข้างที่จะเคลื่อนที่แต่อยู่ในกรอบที่จำกัด และนี่คือจิตวิญญาณของดนตรีล้านนาของคนล้านนาจริงๆ จึงหยิบจุดนี้มาทำ เอาเครื่องดนตรีต่างๆ จากวัฒนธรรมในชีวิตประจำวันมา ใช้คน ใช้ความคิดแบบล้านนามาปฏิบัติ เป็นการดึงเอาตัวตนของความเป็นล้านนาออกมามากกว่า
"ตอนเริ่มวงในปี พ.ศ. 2534 - 2537 เป็นความรู้สึกอยากลองทำเพราะตอนนั้นมีปัญหาเกิดขึ้นกับสังคมชาวเชียงใหม่ หนึ่งไม่มีคนฟังดนตรีพื้นเมือง สองไม่มีคนฟังดนตรีสากลตะวันตกที่เป็นแบบคลาสิคคอล แล้วเกิดการแบ่งระดับของผู้คน ถ้าเป็นไฮโซก็จะฟังแบบคลาสิคคอล เพลงที่ต้องปีนบันไดฟัง แต่จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องปีนบันได เพราะทุกคนมีสิทธิ์ฟังเท่ากัน ขณะที่ดนตรีพื้นเมืองจะเป็นชนชั้นล่างที่จะมาฟัง ชนชั้นกลางเลยต้องหันไปฟังเพลงป็อป (Popular Music) อีกปัญหาที่เกิดขึ้นคือ บทประพันธ์ (Composition) เพลงล้านนาไม่ค่อยมี ไม่ค่อยเกิดเพลงขึ้นใหม่ เราสามารถนับได้เลยว่ามีกี่เพลง และเพลงที่เกิดขึ้นใหม่ก็ไม่ค่อยได้รับการยอมรับ เราเลยดึงเอาแก่นของงานองค์ประกอบดนตรีล้านนามาประพันธ์เป็นอัลบั้ม และทำคอนเสิร์ต โดยการรวมกันระหว่างเครื่องสายล้านนาและเครื่องสายตะวันตก เป็นการทำลายกำแพงกั้นชนชั้น เพราะฉะนั้น ชนชั้นสูง ชนชั้นกลาง ชนชั้นล่าง สามารถฟังเพลงของเราได้หมด พิสูจน์ว่าเราสามารถทำเป็น คลาสิคคอลได้เหมือนกัน
"ช่วงแรกมีการต่อต้านแต่ต่อมาก็ได้รับการยอมรับ ซึ่งวงเรามีจุดยืนคือ ทุกปีเราจะทำคอนเสิร์ตฟรีหนึ่งครั้ง และบันทึกเสียงไว้ ทำซีดีแค่ห้าร้อยแผ่น หนึ่งพันแผ่น ไม่ทำซ้ำ เพราะเราไม่ได้หวังร่ำรวยจากตัวงาน แต่หวังเพียงจะให้เป็นภาพย้ำเตือน ประวัติศาสตร์ของดนตรีล้านนาว่าในช่วงเวลาหนึ่งที่เรามีชีวิต จิตวิญญาณ ได้อยู่ร่วม สร้างสรรค์ผลงานดนตรีที่มีคุณภาพและรสนิยมฝากไว้บูชาแผ่นดินล้านนา"
เสียงสะล้อ ซอ ซึง ดังแว่วอีกที่หนึ่ง ในงานลอยกระทงที่ผ่านมา นอกจาก อ.โก๋ ที่มีส่วนร่วมประสานเสียงเครื่องดนตรีในคอนเสิร์ตซิมโฟนีออร์เคสตร้า (Symphony Orchestra) แล้ว ยังมีศิลปินล้านนาอีกผู้หนึ่ง นาม ครูแอ๊ด ภานุทัต อภิชนาธง ที่ผสมผสานจังหวะเครื่องดนตรีล้านนา ประยุกต์เข้ากับยุคสมัยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างลงตัว
"แต่ก่อนดนตรีล้านนาถูกมองข้ามและถูกเหยียดหยามค่อนข้างมาก ล้าสมัย เชย ใครเล่นเหมือนบ้านนอก ขณะที่ปัจจุบันมีการยอมรับมากขึ้น เหตุผลคือดนตรีล้านนามีการประยุกต์และเปลี่ยนแปลงในตัวมันเอง จากสมัยก่อนดนตรีพื้นเมืองรับใช้เฉพาะชาวบ้าน เล่นตามงานศพ แต่เดี๋ยวนี้ ดนตรีพื้นเมืองได้รับใช้สังคมมากขึ้น เล่นในงานต่างๆ มากขึ้น มีการผสมผสานระหว่างดนตรีสากลทำให้เป็นที่ยอมรับในคนทั่วไป มีการเอาเพลง ที่ฝรั่งรู้จักเอามาเล่น เอาเพลงไทยเดิมที่แต่ก่อนคนพื้นเมืองไม่เล่น อย่างเช่นเพลงค้างคาวกินกล้วย เอามาประยุกต์ ทำให้เพลงพื้นเมืองอยู่ได้ ผู้บริโภคฟังง่ายมากที่สุด อย่างเพลงที่เอาไปเล่นกับโก้ มิสเตอร์แซ็กแมน ไม่น่าเชื่อว่าเพลงพื้นเมืองจะเอาไปเล่นกับเพลงสมุยของโก้ได้ แต่ก็ทำได้ ซึ่งอยู่ที่ความพยายามและฝีมือทางดนตรีของนักดนตรีเป็นหลักด้วย
"จุดเปลี่ยนอีกอันหนึ่งอยู่ที่การประชาสัมพันธ์ หน่วยงานต่างๆ ที่สนับสนุน เช่น รัฐบาล มีการสนับสนุนวงดนตรีไทย วงดุริยางค์ ตามโรงเรียนต่างๆ แต่เดี๋ยวนี้หลายโรงเรียน จะมีการสนับสนุนดนตรีพื้นเมือง ผมเคยนำดนตรีพื้นเมืองไปเล่นที่ญี่ปุ่น คนที่นั่นเสพย์ศิลปะได้ง่ายมาก อะไรที่เป็นศิลปะเขาจะชอบ อย่างดนตรีพื้นเมืองนี่เขาฟังแล้วน้ำตาไหล ได้ยินเสียงปี่จุม เสียงสะล้อนี่เขาชอบ ฟังอ่อนหวาน คิดถึงเชียงใหม่ ถือเป็นเสียงตอบรับที่ดี เวลาเราไปเล่นตามงานต่างๆ ฝรั่งจะชอบมาก เขาชอบศิลปะบ้านเรา และยิ่งเราเอาศิลปะบ้านเราไปสอดคล้องกับดนตรีเขา เขายิ่งชอบ"
ครูแอ๊ดเคยฝากเสียงไว้ในเพลง 'หนานเย็น' และ 'รำวงแสงดาว' ในอัลบั้ม การเดินทางของตะกร้า (The Journey of Basket) ของ รังสรรค์ ราศี-ดิบ ซึ่งได้รับรางวัล สีสันอวอร์ด ถึง 2 รางวัล ในปี 2544, ฝากเสียงไว้ในเพลง 'ลุงลัง' ในอัลบั้ม 20 ศิลปินล้านนา แด่คนช่างฝัน จรัล มโนเพ็ชร, เป็นผู้แต่งเนื้อร้องทำนองและดนตรีเพลง 'นพบุรีศรีเชียงใหม่แก้ว' ในชุด 'ทางน้ำฟ้า' ของ สุนทรี เวชานนท์ ตลอดจนเป็นผู้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ดนตรีพื้นเมืองในอัลบั้มของศิลปินล้านนาและศิลปินส่วนกลางหลายคน เรื่อยมาตั้งแต่ จรัล มโนเพ็ชร จนถึง ลานนา คัมมินส์
"ผมเปิดสอนดนตรีล้านนาที่วัดลอยเคราะห์ทุกวันเสาร์อาทิตย์ ที่น่าดีใจคือมีมากันหลากหลายอาชีพทั้งตำรวจ ทหาร ข้าราชการ ช่างตัดผม พ่อค้า นักเรียน นักศึกษา วัยรุ่น เรียนเป็นครอบครัวก็มี เป็นตัววัดสำคัญว่าดนตรีไม่ได้สูญหายไปไหน ซึ่งผมไม่ได้สอนเพื่อประกอบอาชีพ แต่จะให้เล่นด้วยใจ เล่นอย่างมีความสุข โดยเฉพาะเวลาสอน จากเดิมดนตรีพื้นเมืองคนอาจมองกันว่าเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ ล้าสมัย ไม่น่าสนใจ เราเลยต้องใช้ความเก๋าของเราที่มีอยู่มาใช้ในการสอน เล่นมุขบ้าง สอนกันสนุกๆ แต่ให้ได้อะไร กลับไป คนก็จะโดนเสพย์โดยอัตโนมัติ ทำให้รู้สึกอยากเล่นดนตรี"
ความฝันของครูแอ๊ดคือการทำให้ดนตรีพื้นเมืองล้านนา เป็นมหาดุริยางค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งถึง ณ วันนี้ ก็ได้เป็นจริงอย่างที่ฝันเอาไว้แล้ว
เสียงสะล้อ ซอ ซึง ยังดังแว่ว สลับกับเสียงโหมโรงของเครื่องดนตรีสากล แตถึงอย่างไร เสียงสะล้อ ซอ ซึง รอบเมืองเชียงใหม่-ก็ยังดังแจ่มชัดกว่าอยู่ดี
ไม่ปฏิเสธว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา ดนตรีเชียงใหม่มีการพัฒนาที่ต่อเนื่องมาโดยตลอด มีทั้งการรับเข้าและรับออกภายใต้กระแสยุคโลกาภิวัตน์ หรือยุคปัจจุบันแบบทักษิณนิยม ขณะเดียวกัน แม้แนวเพลงในเชียงใหม่จะมีแนวโน้มความหลากหลายที่มากขึ้น ก็ไม่ได้หมายความว่า การเล่น การแต่งเพลง เครื่องดนตรี การขับร้องในแบบฉบับของความเป็นดนตรีล้านนา ดั้งเดิมจะได้รับความนิยมลดลงไปด้วย ซึ่งถ้าลองมอง และฟังให้ดีๆ จะรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของดนตรีล้านนาที่สอดแทรกอยู่ในทุกพื้นที่รอบเมืองควบคู่ไปกับวิถีวัฒนธรรมประเพณีของเชียงใหม่ที่อยู่ยืนยงมากว่า 700 ปี คำอธิบายข้อความข้างต้น อาจารย์โก๋ ธิติพล กันตีวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาศิลปไทย คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขอขยายความเพื่อย้ำความเข้าใจ
"ดนตรีล้านนาบ้านเรามีการพัฒนามาตลอด มีสืบทอดมาหลายต่อหลายยุค เริ่มต้นคือยุคก่อนประวัติศาสตร์ ถ้าพูดถึงเรื่องดนตรีในตอนนั้น เราจะไม่สามารถฟังแล้ว เพราะได้ตายไปพร้อมกับคน ตายไปกับเวลา ที่เราเห็นมาจนปัจจุบันเป็นเครื่องดนตรีหลักๆ อย่าง ฆ้องกบ หัวพิณเปี๊ยะ ที่เราไปเก็บมา และนักโบราณคดีตีความว่าเป็นช่วงก่อน ประวัติศาสตร์ ซึ่งยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงของดนตรีล้านนาครั้งใหญ่จริงๆ คือยุคของ พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ในช่วงนี้ถือว่ามีพัฒนาการหลายๆ ด้านในพระราชสำนักก่อนที่ถูกรวมกับสยาม มีการนำเอาครูเพลงจากภาคกลางขึ้นมา มีการยืมเพลงของพม่าซึ่งแต่เดิมเป็นเพลงของอยุธยา (เพลง โย-ดะ-ยา) แต่พม่าเอาไป ล้านนาก็ไปเอาของพม่ามาอีกทีหนึ่ง เอามาปรับเปลี่ยนกลายเป็นเพลงแบบล้านนา มีการผสมผสานเนื้อร้องของคริสต์เตียนด้วยเพราะช่วง ค.ศ.1900 (พ.ศ. 2443) กว่าๆ พวกตะวันตกเริ่มเข้ามา ก็มีบทบาทต่อเพลงล้านนาด้วยเช่นเดียวกัน
"ยุคต่อมาจะเป็นยุคของวิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่ เป็นนโยบายเพื่อรองรับและเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมจากภาคกลางมาสู่ภาคเหนือ มีการพยายามฟื้นฟูรวบรวมเพลงเก่ากันขึ้นมา สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ บ้านเราไม่มีการสอนเรื่องว่าด้วยดนตรีวิทยาแบบตะวันตกที่มีการศึกษาเรื่องการบันทึกเสียง การแกะออกมาเป็นตัวโน้ต หรือการสืบทอดการสอนการพัฒนาเครื่องดนตรี เพราะฉะนั้นดนตรีล้านนาแบบดั้งเดิมจริงๆ จึงหายไป เราเลยยึดเอาแบบของภาคกลางมาเป็นมาตรฐาน เอาเข้ามาเป็นพื้นฐานเบื้องต้นในการพัฒนารูปแบบทางดนตรี ดนตรีล้านนาสมัยนั้นจึงเป็นไปตามแบบภาคกลาง
"ประเด็นปัญหาจะมีอยู่ช่วงหนึ่งคือ การที่ดนตรีไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง เพราะมีการสร้างภาพให้กับสังคมว่าเรารักวัฒนธรรมไทย เป็นนโยบายของรัฐที่อยากให้หันมารักษาเอกลักษณ์ของตัวเอง ความเป็นชาตินิยม ท้องถิ่นนิยมขึ้นมา มีการนำดนตรีมาเป็นเครื่องมือบ้าง เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมบ้าง ทำให้เกิดการฟื้นฟูดนตรีล้านนายกใหญ่ มีการยึดติดว่าตรงนี้คือแบบอย่างที่ถูกต้อง ต้องหันมาช่วยกันอนุรักษ์ ซึ่งก็อยู่ที่ว่าจะอนุรักษ์อย่างไร จะอนุรักษ์แบบเชื่อว่ามีแบบพิมพ์เดียวก็ไม่ได้ เพราะดนตรีล้านนามีหลากหลายรูปแบบ เราควรที่จะศึกษาดนตรีแต่ละรูปแบบว่ามีความงามอย่างไร โดดเด่นอย่างไร เพื่อให้คนรุ่นหลังมาศึกษาดนตรีหลากหลายเหล่านี้ จะได้สืบต่อกันไป"
มองผ่านอดีตกันไปแล้ว หันมามองในช่วงสิบปีให้หลังนี้บ้าง ดนตรีล้านนา บ้านเราก็ยังคงความเป็นท้องถิ่นมีกลิ่นของเชียงใหม่ให้รู้สึกอยู่ทุกขณะ
"อีกช่วงที่เด่นมากจะเป็นช่วงล้านนาสไตล์ ของอาจารย์โจ บฤงคพ วรอุไร กับอาจารย์โสฬส คุปตรัตน์ ที่ทำงานละครเรื่องนางไม้ มีการนำเอาเครื่องดนตรีพื้นเมือง มาทำโพสิชั่นเพลงใหม่แบบร่วมสมัย หลังจากนั้นก็จะมีวงแนวอนุรักษ์นิยม เช่น วงนาคทันต์เชียงใหม่ วงอเนกประสงค์เชียงใหม่ วงสร้อยระวิง และตามมาด้วยวงใหม่ๆ อย่าง วงช้างสะตน วงลายคำ วงลายเมือง วงช่อคำ ขณะที่ดนตรีประกอบฟ้อนผี ก็มีการนำเอา วงสติงคอมโบมาผสมกับวงดนตรีพื้นบ้านปี่พาทย์ กลายเป็นวงประกอบฟ้อนผี
"ถ้าเราจัดกลุ่มดนตรีล้านนาในตอนนี้ อาจแบ่งกลุ่มได้เป็นโฟล์คมิวสิค (Folk Music) ประเภทเพลงซอเป็นกลุ่มแรก กลุ่มที่สองเป็นดนตรีแบบประเพณีนิย(Traditional Music) พวกวงสะล้อซอซึง วงกลองต่างๆ กลุ่มที่สามเป็นดนตรีแบบแผน (Classical) อยู่ในคุ้มในวัง กลุ่มที่สี่เป็นแบบรับอิทธิพลตะวันตก (Western Colonized) มีทั้งแบบรับเข้ามากับให้เขาไป และกลุ่มที่ห้าคือกลุ่มของดนตรีร่วมสมัย (Contemporary Music) อยู่ในศตวรรษที่ 20 ของดนตรีตะวันตก เป็นการคลี่คลายจากระบบความคิดในด้านดนตรีเดิมจากดนตรีที่มีเสียงหลัก และไม่ยึดติดเสียงหลัก เป็นปรัชญาโดยรวมของดนตรีร่วมสมัยตะวันตก"
อ.โก๋ เป็นหนึ่งในสมาชิกวงช้างสะตน เริ่มในปี พ.ศ. 2534 เป็นการรวมตัวของกลุ่มนักศึกษาช้างเผือกของคณะวิจิตรศิลป์เริ่มต้นการแสดงดนตรีประกอบกับการ แสดงหุ่นของล้านนาประยุกต์ที่เรียกว่า Hobby Hut
"พอเริ่มมาขั้นหนึ่ง เราก็หันมามองในฐานะคนรวบรวมวง มองว่าความเป็นดนตรีมีเหมือนกันทุกวัฒนธรรม แต่ความมีทักษะที่เป็นนักดนตรีจะต่างกัน เพราะฉะนั้นพอมีโอกาสได้ร่วมงานกับชาวญี่ปุ่นบ้าง ชาวสิงคโปร์บ้าง ชาวอเมริกาบ้าง เราจึงเห็นว่ากลุ่มของเขามีการขยับขยาย มีการเคลื่อนที่ทางวัฒนธรรมของเขาเอง การได้มองดนตรีจากที่อื่น ทำให้รู้ว่าดนตรีล้านนาบ้านเราไม่ได้เก่งที่สุดในโลก แต่ขณะเดียวกัน เราก็เป็นหนึ่งในโลกเหมือนกัน เป็นหนึ่งในแง่ที่มีความงามต่างกันไป สำหรับเรา เรามองว่าดนตรีอาจไม่ได้สำคัญที่เครื่องดนตรี แต่สำคัญที่คนปฏิบัติ สำคัญที่ตัวนักดนตรี ถึงจุดหนึ่งเราจะเห็นว่าตัวดนตรีล้านนาจริงๆ ค่อนข้างที่จะเคลื่อนที่แต่อยู่ในกรอบที่จำกัด และนี่คือจิตวิญญาณของดนตรีล้านนาของคนล้านนาจริงๆ จึงหยิบจุดนี้มาทำ เอาเครื่องดนตรีต่างๆ จากวัฒนธรรมในชีวิตประจำวันมา ใช้คน ใช้ความคิดแบบล้านนามาปฏิบัติ เป็นการดึงเอาตัวตนของความเป็นล้านนาออกมามากกว่า
"ตอนเริ่มวงในปี พ.ศ. 2534 - 2537 เป็นความรู้สึกอยากลองทำเพราะตอนนั้นมีปัญหาเกิดขึ้นกับสังคมชาวเชียงใหม่ หนึ่งไม่มีคนฟังดนตรีพื้นเมือง สองไม่มีคนฟังดนตรีสากลตะวันตกที่เป็นแบบคลาสิคคอล แล้วเกิดการแบ่งระดับของผู้คน ถ้าเป็นไฮโซก็จะฟังแบบคลาสิคคอล เพลงที่ต้องปีนบันไดฟัง แต่จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องปีนบันได เพราะทุกคนมีสิทธิ์ฟังเท่ากัน ขณะที่ดนตรีพื้นเมืองจะเป็นชนชั้นล่างที่จะมาฟัง ชนชั้นกลางเลยต้องหันไปฟังเพลงป็อป (Popular Music) อีกปัญหาที่เกิดขึ้นคือ บทประพันธ์ (Composition) เพลงล้านนาไม่ค่อยมี ไม่ค่อยเกิดเพลงขึ้นใหม่ เราสามารถนับได้เลยว่ามีกี่เพลง และเพลงที่เกิดขึ้นใหม่ก็ไม่ค่อยได้รับการยอมรับ เราเลยดึงเอาแก่นของงานองค์ประกอบดนตรีล้านนามาประพันธ์เป็นอัลบั้ม และทำคอนเสิร์ต โดยการรวมกันระหว่างเครื่องสายล้านนาและเครื่องสายตะวันตก เป็นการทำลายกำแพงกั้นชนชั้น เพราะฉะนั้น ชนชั้นสูง ชนชั้นกลาง ชนชั้นล่าง สามารถฟังเพลงของเราได้หมด พิสูจน์ว่าเราสามารถทำเป็น คลาสิคคอลได้เหมือนกัน
"ช่วงแรกมีการต่อต้านแต่ต่อมาก็ได้รับการยอมรับ ซึ่งวงเรามีจุดยืนคือ ทุกปีเราจะทำคอนเสิร์ตฟรีหนึ่งครั้ง และบันทึกเสียงไว้ ทำซีดีแค่ห้าร้อยแผ่น หนึ่งพันแผ่น ไม่ทำซ้ำ เพราะเราไม่ได้หวังร่ำรวยจากตัวงาน แต่หวังเพียงจะให้เป็นภาพย้ำเตือน ประวัติศาสตร์ของดนตรีล้านนาว่าในช่วงเวลาหนึ่งที่เรามีชีวิต จิตวิญญาณ ได้อยู่ร่วม สร้างสรรค์ผลงานดนตรีที่มีคุณภาพและรสนิยมฝากไว้บูชาแผ่นดินล้านนา"
เสียงสะล้อ ซอ ซึง ดังแว่วอีกที่หนึ่ง ในงานลอยกระทงที่ผ่านมา นอกจาก อ.โก๋ ที่มีส่วนร่วมประสานเสียงเครื่องดนตรีในคอนเสิร์ตซิมโฟนีออร์เคสตร้า (Symphony Orchestra) แล้ว ยังมีศิลปินล้านนาอีกผู้หนึ่ง นาม ครูแอ๊ด ภานุทัต อภิชนาธง ที่ผสมผสานจังหวะเครื่องดนตรีล้านนา ประยุกต์เข้ากับยุคสมัยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างลงตัว
"แต่ก่อนดนตรีล้านนาถูกมองข้ามและถูกเหยียดหยามค่อนข้างมาก ล้าสมัย เชย ใครเล่นเหมือนบ้านนอก ขณะที่ปัจจุบันมีการยอมรับมากขึ้น เหตุผลคือดนตรีล้านนามีการประยุกต์และเปลี่ยนแปลงในตัวมันเอง จากสมัยก่อนดนตรีพื้นเมืองรับใช้เฉพาะชาวบ้าน เล่นตามงานศพ แต่เดี๋ยวนี้ ดนตรีพื้นเมืองได้รับใช้สังคมมากขึ้น เล่นในงานต่างๆ มากขึ้น มีการผสมผสานระหว่างดนตรีสากลทำให้เป็นที่ยอมรับในคนทั่วไป มีการเอาเพลง ที่ฝรั่งรู้จักเอามาเล่น เอาเพลงไทยเดิมที่แต่ก่อนคนพื้นเมืองไม่เล่น อย่างเช่นเพลงค้างคาวกินกล้วย เอามาประยุกต์ ทำให้เพลงพื้นเมืองอยู่ได้ ผู้บริโภคฟังง่ายมากที่สุด อย่างเพลงที่เอาไปเล่นกับโก้ มิสเตอร์แซ็กแมน ไม่น่าเชื่อว่าเพลงพื้นเมืองจะเอาไปเล่นกับเพลงสมุยของโก้ได้ แต่ก็ทำได้ ซึ่งอยู่ที่ความพยายามและฝีมือทางดนตรีของนักดนตรีเป็นหลักด้วย
"จุดเปลี่ยนอีกอันหนึ่งอยู่ที่การประชาสัมพันธ์ หน่วยงานต่างๆ ที่สนับสนุน เช่น รัฐบาล มีการสนับสนุนวงดนตรีไทย วงดุริยางค์ ตามโรงเรียนต่างๆ แต่เดี๋ยวนี้หลายโรงเรียน จะมีการสนับสนุนดนตรีพื้นเมือง ผมเคยนำดนตรีพื้นเมืองไปเล่นที่ญี่ปุ่น คนที่นั่นเสพย์ศิลปะได้ง่ายมาก อะไรที่เป็นศิลปะเขาจะชอบ อย่างดนตรีพื้นเมืองนี่เขาฟังแล้วน้ำตาไหล ได้ยินเสียงปี่จุม เสียงสะล้อนี่เขาชอบ ฟังอ่อนหวาน คิดถึงเชียงใหม่ ถือเป็นเสียงตอบรับที่ดี เวลาเราไปเล่นตามงานต่างๆ ฝรั่งจะชอบมาก เขาชอบศิลปะบ้านเรา และยิ่งเราเอาศิลปะบ้านเราไปสอดคล้องกับดนตรีเขา เขายิ่งชอบ"
ครูแอ๊ดเคยฝากเสียงไว้ในเพลง 'หนานเย็น' และ 'รำวงแสงดาว' ในอัลบั้ม การเดินทางของตะกร้า (The Journey of Basket) ของ รังสรรค์ ราศี-ดิบ ซึ่งได้รับรางวัล สีสันอวอร์ด ถึง 2 รางวัล ในปี 2544, ฝากเสียงไว้ในเพลง 'ลุงลัง' ในอัลบั้ม 20 ศิลปินล้านนา แด่คนช่างฝัน จรัล มโนเพ็ชร, เป็นผู้แต่งเนื้อร้องทำนองและดนตรีเพลง 'นพบุรีศรีเชียงใหม่แก้ว' ในชุด 'ทางน้ำฟ้า' ของ สุนทรี เวชานนท์ ตลอดจนเป็นผู้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ดนตรีพื้นเมืองในอัลบั้มของศิลปินล้านนาและศิลปินส่วนกลางหลายคน เรื่อยมาตั้งแต่ จรัล มโนเพ็ชร จนถึง ลานนา คัมมินส์
"ผมเปิดสอนดนตรีล้านนาที่วัดลอยเคราะห์ทุกวันเสาร์อาทิตย์ ที่น่าดีใจคือมีมากันหลากหลายอาชีพทั้งตำรวจ ทหาร ข้าราชการ ช่างตัดผม พ่อค้า นักเรียน นักศึกษา วัยรุ่น เรียนเป็นครอบครัวก็มี เป็นตัววัดสำคัญว่าดนตรีไม่ได้สูญหายไปไหน ซึ่งผมไม่ได้สอนเพื่อประกอบอาชีพ แต่จะให้เล่นด้วยใจ เล่นอย่างมีความสุข โดยเฉพาะเวลาสอน จากเดิมดนตรีพื้นเมืองคนอาจมองกันว่าเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ ล้าสมัย ไม่น่าสนใจ เราเลยต้องใช้ความเก๋าของเราที่มีอยู่มาใช้ในการสอน เล่นมุขบ้าง สอนกันสนุกๆ แต่ให้ได้อะไร กลับไป คนก็จะโดนเสพย์โดยอัตโนมัติ ทำให้รู้สึกอยากเล่นดนตรี"
ความฝันของครูแอ๊ดคือการทำให้ดนตรีพื้นเมืองล้านนา เป็นมหาดุริยางค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งถึง ณ วันนี้ ก็ได้เป็นจริงอย่างที่ฝันเอาไว้แล้ว
เสียงสะล้อ ซอ ซึง ยังดังแว่ว สลับกับเสียงโหมโรงของเครื่องดนตรีสากล แตถึงอย่างไร เสียงสะล้อ ซอ ซึง รอบเมืองเชียงใหม่-ก็ยังดังแจ่มชัดกว่าอยู่ดี
เธอคิดว่าการที่เรายบอกรักกับบอกเลิกแบบไหนจะบอกยากกว่ากัน
ตอบลบยังไม่จบ มีต่อ ไว้วันนหลังนะเพื่อน จามาเม้นท์ให้ใหม่ บาย...
ตอบลบอย่าพึ่งกด ไปจริงๆละ 5555 +
ตอบลบแกล้งคนงามก่อน5555+ไปละเน้อ...คนงามวงคำเหลา(มอสวงคำเหลา)ฮ่าๆๆๆ..
ตอบลบมอส(วงคำเหลา)555+ มอสซี่คนงามผีบ้าฮ่าๆๆๆๆๆ.....
ตอบลบ